เปรตที่รับส่วนบุญได้และไม่ได้
เปรตบางชนิดที่สามารถรับส่วนกุศลได้ ในบรรดาเปรตทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น มี 12 จำพวกบ้าง 4 จำพวกบ้าง 21 จำพวกบ้าง ในจำนวนเปรตทั้งหมดนี้ เปรตที่มีโอกาสจะได้รับส่วนบุญจากญาติอุทิศให้ คือ เปรตจำพวกปรทัตตูปชีวิกเปรต และเป็นเปรตจำพวกเดียวที่รับส่วนบุญได้เท่านั้น ส่วนเปรตอื่นๆ นอกจากนี้ ไม่สามารถจะรับส่วนบุญที่ญาติอุทิศไปให้ได้ เพราะเหตุว่าเปรตเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์ แต่สำหรับปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้น เป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น บุคคลบางคนถูกฆ่าตายโดยปัจจุบัน หรือผู้ที่ตายตามธรรมดาก็ตาม แต่มีความห่วงใยอาลัย ก็เกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณบ้านนั้นเอง
ตายแล้วไปไหนทำไมตายแล้วไปเป็นเปรต
เปตติวิสยภูมินั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนกับต้นไม้ในพื้นที่อันไม่เสมอ มีใบอ่อนและใบแก่ โปร่งเบา มีร่มเงาอันโปร่ง เป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์ เพราะแห้งแล้งเต็มไปด้วยความทรมาน เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งประพฤติอกุศลกรรมนำชีวิตของตนไปในทางอกุศลกรรม ผู้นั้นชื่อว่านำตนไปสู่ปฏิปทาทางไปสู่ต้นไม้อันหาความสุขสบายมิได้ คือ เปตติวิสยภูมินั้นอย่างแน่นอน
ตายแล้วไปไหนสภาพของเปรตแต่ละชนิด
เปรตชิ้นเนื้อ ครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระได้เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในอากาศ พวกแร้งบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างพากันโผถลาตามจิกทึ้งชิ้นเนื้อนั้น และชิ้นเนื้อนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร จึงคิดว่าน่าอัศจรรย์เป็นนักหนา ต่อมาได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าประวัติของเปรตตนนี้ว่า
ตายแล้วไปไหนตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
วิธีการเดินทางเปลี่ยนภพภูมิใหม่ เริ่มต้นที่จิตของผู้ตายเคลื่อนออกจากกายมนุษย์หยาบ จากภพที่อาศัยอยู่ เมื่อจิตหลุดจากกายหยาบก็จะปฏิสนธิเป็นกายใหม่ในภพใหม่ทันที กายใหม่ที่เป็นกายละเอียดนี้ยังคงมีธาตุ 4 อย่างละเอียดเป็นส่วนประกอบ
ตายแล้วไปไหนเจ้าหน้าที่ในยมโลกหน้าตาเป็นอย่างไร
เจ้าหน้าที่ในยมโลก ไม่ใช่นายนิรยบาลที่เกิดด้วยอำนาจบาปของสัตว์นรกเหมือนอย่างในมหานรกและอุสสทนรก เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นกุมภัณฑ์ คือ ยักษ์ชนิดหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อยู่ในความดูแลของท้าวธตรฐ เป็นอดีตมนุษย์ที่มีนิสัยมักโกรธ แต่ก็ทำบุญด้วย เจ้าหน้าที่พวกนี้จะหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ มีตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 12 เดือน ในยมโลก ซึ่งก็แล้วแต่บาปที่ตนกระทำไว้ เจ้าหน้าที่ในยมโลกมีหลักๆ ดังนี้
ตายแล้วไปไหนยมโลก ชีวิตหลังความตาย
ขุมที่ 1 โลหกุมภีนรก โลหกุมภีนรก คือ นรกหม้อเหล็กร้อน มีลักษณะเป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บนเตาไฟนรก กุมภัณฑ์จับสัตว์นรกที่ข้อเท้า 2 ข้างแล้วเอาหัวคว่ำลง หย่อนทิ้งลงไปในหม้อเหล็ก สัตว์นรกได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
ตายแล้วไปไหนทำกรรมอะไรตายแล้วไปเป็นเปรต
เปรตบางจำพวกอาศัยปะปนอยู่กับภพมนุษย์ แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าเปรตนั้นไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสยืนยันเรื่องเปรตนี้ว่ามีจริง และทรงรู้ถึงการกระทำที่จะนำไปเป็นเปรต ดังมีกล่าวไว้ใน มหาสีหนาทสูตร
ตายแล้วไปไหนการพิสูจน์ปรโลก ปรโลกมีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้ เป็นศาสนาที่เกิดจากการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเป็นสัจธรรม ได้แก่ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นความจริงอย่างแท้จริง ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาแห่งความจริง พระพุทธองค์ทรงประกาศสัจธรรมที่ตรัสรู้นั้นแก่ชาวโลก เพื่อให้ชาวโลกได้รู้ความจริง
ตายแล้วไปไหนนรกเป็นอย่างไรทำกรรมอะไรจึงต้องไปนรก
นรก มีขุมใหญ่สำคัญๆ เรียกว่า มหานรกมีอยู่จำนวน 8 ขุม ตั้งอยู่ในบริเวณปังสุปถวี ตรงลงไปเบื้องล่างของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ (ชมพูทวีป) มีลักษณะเหมือนอุโมงค์อยู่ใต้ดิน มหานรกขุมหนึ่งๆ มีนรกย่อยเป็นบริวาร (อุสสทนรก) 5 ชั้นล้อมรอบเป็นบริเวณเนื้อที่ทั้งขุมเล็กขุมใหญ่กว้างยาวอย่างละ 10,000 โยชน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม ขุมใหญ่แต่ละขุมมีระยะลึก
ตายแล้วไปไหนการพิสูจน์ปรโลก ปรโลกมีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมและนำมาเผยแผ่ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในประเทศอินเดียมีเจ้าศาสดาหลายศาสนา ที่มีคำสอนว่า โลกหน้าไม่มี คือ สอนให้ไม่เชื่อเรื่องปรโลกอันเป็นที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย พวกมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ
ตายแล้วไปไหน